แหล่งผลิตของเนื้อวัวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องด้วยสภาพภูมิอากาศ การเลี้ยงดู และพืชผักหรือหัวเชื้ออาหารที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เนื้อวัวของแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งคุณภาพ เนื้อสัมผัส รสชาติ และราคา
สำหรับเนื้อวัวสัญชาติไทยก็จะมีเนื้อวัวโคขุน หรือ โคขุนโพนยางคำ เป็นเนื้อวัวลูกผสมไทย - ฝรั่งเศส มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เนื้อโคขุนจะให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มพร้อมกับกลิ่นหอมและรสชาติที่หวาน และอีกสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่รู้จักมากขึ้นก็คือเนื้อวัวไทยวากิว (wagyu) เป็นเนื้อลูกครึ่งไทย - ญี่ปุ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคขุนหรือเนื้อไทยวากิว เนื้อสัญชาติก็ไทยยังไม่เป็นที่นิยมมากนักเนื่องจากการควบคุมคุณภาพของเนื้อวัวที่ไม่คงที่เหมือนเนื้อวัวนอก
“วากิว” เมื่อแปลตรงตัวแล้วหมายถึง “เนื้อญี่ปุ่น” ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็จะมีชื่อเรียกย่อยตามถิ่นกำเนิดไปอีก เช่น “เนื้อวัวโกเบ” ที่สื่อถึงเนื้อวัวที่ถูกผลิตในเมืองโกเบ หรือ “เนื้อวัวมัตสึซากะ” ที่ถูกผลิตที่เมืองมัตสึซากะ ด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดและการเลี้ยงดูที่พิถีพิถัน ทำให้เนื้อวากิวขึ้นชื่อในเรื่องของเนื้อที่มีไขมันแทรกเยอะ (ดูได้จากลายหินอ่อน หรือ “Marbling”) ให้ความรู้สึกที่ “ละลายในปาก” และเนื้อสัมผัสที่นิ่มเมื่อรับประทาน
ด้วยคุณภาพของเนื้อวัวที่คงที่ ทำให้เนื้อวัวออสเตรเลียเป็นตัวเลือกเบอร์ 1 ของร้านอาหารทั่วไปจนไปถึงภัตตาคารมิชลิน และยังเป็นเนื้อวัวที่คนไทยนำเข้ามากที่สุดอีกด้วย โดยที่เนื้อออสเตรเลียจะมีอยู่ 3 ประเภทหลัก : “เนื้อวัวเลี้ยงด้วยหญ้า” ที่มีไขมันต่ำและความแน่น “เนื้อวัวเลี้ยงด้วยธัญพืช” โดยที่โรงเลี้ยงจะคัดเลือกธัญพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้วัวกิน ทำให้เนื้อวัวมีไขมันแทรกเยอะ มีความฉ่ำและให้เนื้อสัมผัสที่นุ่ม และประเภทสุดท้ายก็คือเนื้อวัวลูกครึ่ง “ออสเตรเลีย - วากิว”
เนื้อวัวจากสหรัฐอเมริกาที่ถูกรับประทานมากที่สุดก็คือเนื้อพันธุ์แองกัส (Angus) โดยที่วัวแองกัสจะกินข้าวโพดเป็นหลัก ต่างจากเนื้อวัวออสเตรเลียหรือเนื้อวัวไทยที่ให้กินหญ้าและธัญพืช เนื้อวัวแองกัสจะมีเนื้อที่แน่นและมีมันแทรกเพียงเล็กน้อย