ครบที่นี่! รวมวิธีเลือกซื้อกล้องถ่ายรูปให้เหมาะกับตัวเอง

Dec 9 / IkonClass Staff
มื่อย้อนกลับไปในยุคก่อนที่จะมี Smartphone แพร่หลายอย่างในปัจจุบันนี้ การถ่ายรูปเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยนิยมนัก เนื่องจากกล้องโทรศัพท์ในยุคก่อนนั้นยังเก็บภาพถ่ายได้ไม่ดี อีกทั้งโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์ที่แพง ส่วนใครที่อยากได้ภาพถ่ายที่ดีก็ต้องลงทุนซื้อกล้องถ่ายรูปอีกที ต่างจากในยุคปัจจุบันที่ Smartphone สามารถเก็บภาพถ่ายได้อย่างคมชัด ทำให้การถ่ายรูปนั้นเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับคนในยุคนี้

อย่างไรก็ตาม ในโลกของการถ่ายรูป เราก็ยังคงต้องพึ่งพากล้องถ่ายรูปส่วนตัวในวาระสำคัญอยู่ดี อาทิ ในวาระงานแต่งงาน งานอีเว้นต์ งานสื่อสารมวลชน งานแฟชั่น จะสังเกตได้ว่าช่างภาพในสายงานก็ยังคงพึ่งพากล้องส่วนตัวและแทบจะไม่ได้ใช้กล้อง Smartphone สำหรับงานมืออาชีพเลย เหตุผลง่าย ๆ เลยก็คือ ตัวเซ็นเซอร์ (Sensor) ที่อยู่ในตัวกล้องถ่ายรูปนั้นมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่มากกว่าตัวกล้อที่มากับโทรศัพท์มือถือ ทำให้กล้องดิจิตอลสามารถเก็บรายละเอียดสีและความละเอียดของภาพได้แม่นยำกว่า

อีกทั้งในยุคปัจจุบัน การถ่ายรูปเพื่อนำไปทำเนื้อหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะในรูปแบบส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติไปแล้ว ทำให้คนเริ่มที่จะสนใจกับการลงทุนกล้องถ่ายรูปดี ๆ สักอัน สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อกล้องยังไง วันนี้ทาง IkonClass จะมาอธิบายทุกอย่างให้ช่างภาพมือใหม่ได้เข้าใจเอง รับรองว่าอ่านเสร็จแล้วก็สามารถเลือกซื้อกล้องดิจิตอลได้แบบไม่มีพลาดแน่นอน
สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการแต่งหน้าสำหรับมือใหม่
เรียนกับช่างภาพแฟชั่นมือ 1 ของประเทศไทย

เริ่มจากคิดก่อนว่าเราจะเอาไปถ่ายอะไรและมีงบเท่าไหร่

กล้องถ่ายรูปเป็นหนึ่งในสินค้าที่ไม่มีคำว่า “เจ็บแต่จบ” เพราะด้วยความที่มีลูกเล่นและตัวเลือกเยอะมหาศาล คุณมีเงินเท่าไหร่ก็สามารถหมดไปกับกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ทุกคนควรจะคำนึงถึงคือประเภทการใช้งาน อยากให้ผู้อ่านลองทำการบ้านว่าต้องจะนำกล้องไปใช้ในงานรูปแบบไหน เช่น :
  • ถ่ายรูปสัตว์ตามธรรมชาติ
  • ถ่ายรูปคน
  • ถ่ายรูปตอนกลางคืน
  • ถ่ายรูปตอนไปเที่ยว
  • ถ่ายรูปแบบมืออาชีพ
ซึ่งเมื่อคุณสามารถตอบคำถามได้ว่าตัวเองต้องการจะเอากล้องถ่ายรูปไปทำอะไร ต่อมาคือการคิดถึงงบประมาณที่มี ซึ่งในส่วนนี้ ทางเราไม่สามารถบอกได้ว่าคุณควรจะซื้อยี่ห้ออะไร แต่ผู้อ่านควรจะทำการบ้านอย่างละเอียดและทำการไปทดลองที่หน้าร้านเมื่อมีโอกาส แต่โดยรวมแล้ว สิ่งที่คุณจะต้องซื้อก็คือ ตัวกล้อง เลนส์กล้อง และ การ์ดเก็บความจำ

ทำความเข้าใจกับกล้อง

แต่ก่อนที่เราจะไปเลือกกล้อง อยากให้ผู้อ่านได้ทำความเคยชินกับปัจจัยของกล้อง
  • เซ็นเซอร์ (Sensor) : มีหน่วยวัดเป็น “mm” โดยหลักการของเซ็นเซอร์คือเซ็นเซอร์ที่ใหญ่สามารถรับแสงเข้าได้มากกว่าเซ็นเซอร์ที่เล็ก ทำให้กล้องสามารถเก็บรายละเอียดภาพได้ชัดกว่าและสามารถถ่ายภาพตอนกลางคืนได้ดีกว่า เซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดของกล้องคือ “Full frame” มีหน่วยวัดที่ 35mm แต่กล้องระดับ Full frame ก็จะมาพร้อมกับราคาที่แพงมากเช่นกัน เวลาเลือกซื้อกล้องดิจิตอล ถ้าถามว่าเซ็นเซอร์สำคัญไหม ต้องมองกลับไปว่าเราใช้กล้องทำอะไร เพราะถ้าไม่ได้ซื้อกล้องที่มีเซ็นเซอร์แบบ Full Frame แล้วใส่เลนส์เข้าไป จะมีระยะคูณเข้าไปอีก ทำให้ได้ภาพที่ใกล้มากกว่าที่ต้องการ
  • ความละเอียดของภาพ (Megapixel) : มีหน่วยวัดเป็น MP เมื่อเลข Megapixel สูงกล้องนั้นก็จะสามารถเก็บความละเอียดของภาพได้เยอะมากขึ้น ภาพที่ถ่ายออกมาจะมีมาตราส่วนที่ใหญ่ (ให้ลองนึกว่า 1080p กับ 4k ตัว 4k มีเลข Pixel คูณเยอะกว่า แสดงว่าขนาดภาพก็จะใหญ่กว่า) เหมาะสำหรับการถ่ายภาพเพื่อจะเอาไปพิมพ์ลงกระดาษขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสามารถนำภาพไปครอป (Crop) ได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพ ข้อเสียของกล้องที่มีความละเอียดของภาพสูงก็คือ ทางผู้ผลิดต้องลดขนาดของเซ็นเซอร์ให้เล็กลงเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเซ็นเซอร์เล็กลง ผู้ผลิดก็จะสามารถยัดตัวเซ็นเซอร์เข้าตัวกล้องที่มีขนาดเท่าเดิมได้ เมื่อมีเซ็นเซอร์ที่เยอะขึ้น ก็จะสามารถจับ Pixel ได้เยอะขึ้น แต่การที่เซ็นเซอร์กล้องนั้นมีขนาดเล็กลงหมายความว่าก็จะรับแสงได้น้อยลง ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยนั้นสู้กล้องที่มีความละเอียดของภาพน้อยแต่เซ็นเซอร์กล้องใหญ่กว่าไม่ได้ ใครที่ต้องการภาพถ่ายชัด ๆ นำไปทำอย่างอื่นต่อได้เยอะ ๆ แนะนำให้เลือกซื้อกล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดสูง
  • ISO : ค่า ISO โดยส่วนมากจะวัดเป็นตัวเลขหลักสิบ หลักร้อย จนไปถึงหลักพัน โดยที่ ISO เป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความไวต่อแสงของตัวกล้อง ยิ่งช่างภาพปรับ ISO สูง กล้องก็จะไวต่อแสงมากขึ้น แต่สิ่งที่ตามมาก็คือรูปจะมีอาการ Grainy effect หรือมีลักษณะเหมือนเม็ด ๆ กระจายอยู่ทั่ว ๆ ภาพ ทำให้รูปดูไม่สวยและไม่คมชัด โดยพื้นฐานแล้ว ในสภาวะแสงปกติอย่างตอนกลางวัน ISO จะถูกตั้งไว้ต่ำ เพื่อให้กล้องไม่ไวต่อแสงมากเกินไป ภาพจะไม่สว่างจนขาดรายละเอียด (Overexposed) คนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพดวงดาวต่าง ๆ หรือถ่ายภาพในที่มืด มักจะเลือกซื้อกล้องดิจิตอลที่มีค่า ISO สูง ๆ
  • ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter speed) : ค่าความเร็วของชัตเตอร์ มีหน่วยวัดเป็นตัวเลข เช่น 1/125, 1/60, 1s สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ ยิ่งตัวเลขเยอะ ชัตเตอร์สปีดก็จะยิ่งช้าลง หมายความว่าชัตเตอร์ของกล้องจะปิดช้าลง รับแสงได้มากขึ้น อย่างเช่นการตั้งค่าชัตเตอร์สปีดอยู่ที่ 1/125 จะเท่ากับว่าชัตเตอร์ของกล้องจะเปิดอยู่เป็นเวลาหนึ่งส่วนหนึ่งร้อยยี่สิบห้า ของ หนึ่งวินาที (เท่ากับ 4 มิลลิวินาที) หลังจากกดถ่ายภาพ ทำให้ช่างภาพสามารถถ่ายสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวเร็วได้ดี (นักวิ่ง นักฟุตบอล เสือวิ่ง รถแข่ง) แต่นั่นก็หมายความว่าแสงจะมีโอกาสเข้าไปในตัวกล้องได้ไม่มากก่อนที่ชัตเตอร์จะปิด เพราะฉะนั้น ในสถานการณ์ที่แสงน้อย ช่างภาพก็จะนิยมปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลงเพื่อให้ตัวกล้องได้รับแสงเพียงพอก่อนชัตเตอร์จะปิดและจับภาพ นอกจากนี้ยังมีการใช้ชัตเตอร์สปีดช้า ๆ ด้วยความตั้งใจด้วย เพื่อให้ได้ภาพอย่างเช่นภาพน้ำตกที่น้ำดูเหมือนหมอก หรือรูปรถยนต์ในตัวเมืองที่ดูเหมือนเส้นแสงยาว ๆ
  • ค่ารูรับแสง (Aperture) : วัดค่าเป็นตัวอักษร “f” ตามด้วยตัวเลข อาทิ “f8” “f1/4” ตัว ค่ารูรับแสงเป็นเสมือนม่านตาของกล้องถ่ายรูปที่คอยปิดและเปิดเพื่อควบคุมแสงที่เข้าตัวกล้อง เมื่อตั้งค่าค่ารูรับแสงสูงอย่าง f32 รูปภาพที่ได้ก็จะเห็นพื้นหลัง พื้นหน้า และตัวแบบได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อปรับให้ค่ารูรับแสงน้อยลงมาอย่าง f4 ภาพที่ถ่ายออกมาก็จะเกิดเอฟเฟค “หน้าชัดหลังเบลอ” ต่างจากค่า ISO และ Shutter speed ค่าค่ารูรับแสงจะถูกจำกัดที่เลนส์กล้อง ไม่ใช่ตัวกล้อง ดังนั้นเวลาเลือกซื้อกล้องดิจิตอล เรื่องค่ารูรับแสงนั้นไม่ต้องสังเกตเลย แต่ให้ไปสังเกตเมื่อซื้อเลนส์แทน 

ตัวกล้องมีกี่ประเภท แบบไหนที่เหมาะกับเรา?

ในบทความนี้ เราจะยังไม่พูดถึงกล้องที่ใช้ถ่ายวิดีโอด้วย แต่จะเน้นไปที่ชนิดของกล้องถ่ายรูปเพียงเท่านั้น การใช้กล้องแต่ละชนิดมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป อยากให้ผู้อ่านคำนึงไว้เสมอ ว่าการใช้กล้องราคาแพงไม่ได้สอดคล้องกับคุณภาพเสมอไป การเลือกซื้อกล้องควรมองที่จุดประสงค์ของผู้ใช้เป็นหลักเพียงเท่านั้น

DSLR (Digital Single Lens Reflex)

กล้องถ่ายรูปดิจิทัลประเภทแรกที่หลาย ๆ คนน่าจะเห็นกันจนคุ้นตาแล้วก็คือ กล้อง DSLR โดยการทำงานของกล้อง DSLR คือ ข้างในตัวกล้องจะมีกระจกที่สะท้อนภาพจากภายนอก ขึ้นไปอยู่ที่ช่องส่องภาพ (Viewfinder) ให้ช่างภาพได้เห็นก่อนจะกดปุ่มถ่าย

ข้อดีของกล้อง DSLR : 
  • กล้อง DSLR ที่ใช้ Sensor Full Frame (35mm) ถ่ายรูปได้ชัดกว่า
  • มีเลนส์กล้องที่เยอะกว่า
  • มีช่องมองภาพที่ใช้กระจกสะท้อนภาพให้ดูก่อนถ่ายมีความแม่นยำมากที่สุด ต่างจาก Mirrorless ที่ใช้จอแสดงภาพผ่านเซ็นเซอร์แ
  • แบตเตอรี่อยู่ได้นาน

ข้อเสีย : 
  • มีราคาที่แพง
  • น้ำหนักเยอะ
  • ขนาดใหญ่ พกพาไม่สะดวก
  • เรียนรู้การใช้งานยาก

การใช้งานของกล้อง DSLR : 
ใครที่กำลังเลือกซื้อกล้องดิจิตอลเพื่อนำไปถ่ายดารา ถ่ายสัตว์ตามป่า ถ่ายนก หรือถ่ายกีฬาต่าง ๆ แนะนำให้เลือกซื้อกล้องดิจิตอลแบบ DSLR เพราะถึงแม้ว่าจะมีราคาที่แพงกว่ากล้องถ่ายรูปแบบอื่น ๆ แต่ถือว่ามีความครบ จบในตัวเดียวจริง ๆ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมช่างภาพส่วนมากเลือกใช้กล้องแบบนี้กัน เพราะสะดวก ถ่ายงานได้หลากหลายแบบ และมีความมืออาชีพ

Digital Mirrorless

กล้อง Mirrorless เป็นกล้องที่ไม่มีกระจกสะท้อนภาพขึ้นไปยังช่องมองภาพเหมือน DSLR แต่จะเป็นการแสดงภาพจากเลนส์กล้องผ่านตัวแผงจอแทน ในเรื่องของคุณภาพรูปถ่ายนั้น DSLR กับ Mirrorless แทบไม่มีความแตกต่างเลยเมื่อใช้ Full frame sensor เหมือนกัน

ข้อดีของกล้อง Mirrorless : 
  • น้ำหนักเบากว่า DSLR มาก พกพาสะดวก
  • สามารถปรับการตั้งค่า ISO, Shutter speed, Aperture และเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที
ข้อเสียของกล้อง Mirrorless : 
  • Electronic viewfinder แสดงภาพได้ไม่แม่นยำเท่าช่องมองภาพของ DSLR
  • แบตอยู่ได้ไม่นานเท่า DSLR
  • เลนส์กล้องอาจจะยังไม่หลากหลายเมื่อเทียบกับ DSLR
การใช้งาน : 
  • เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายภาพแบบมืออาชีพ แต่ไม่อยากแบกกล้องตัวใหญ่
  • เหมาะกับคนที่มองหากล้องดิจิตอลตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ พกพาไปเที่ยวได้สะดวก
  • สามารถนำไปใช้ในงานระดับมืออาชีพได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ใช้

Bridge Camera

กล้องบริดจ์จะมีลักษณะที่คล้ายกับกล้อง DSLR แต่จะแตกต่างที่ขนาดของเซ็นเซอร์เพราะกล้องบริดจ์ จะมีเซ็นเซอร์ที่เล็กกว่ากล้อง DSLR และจะมีเลนส์ที่ไม่สามารถถอดออกได้ กล้องบริดจ์จะนิยมในกลุ่มช่างภาพที่ต้องการถ่ายภาพสวยมากกว่ากล้องโทรศัพท์แต่ยังไม่มีงบซื้อ DSLR หรือ Mirrorless อีกทั้งเลนส์ของกล้องบริดจ์มักจะมาพร้อมกับระดับการซูมที่เยอะมาก เหมาะกับช่างภาพที่ต้องการเปลี่ยนระยะการซูมบ่อยโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์

ข้อดีของกล้องบริดจ์ : 
  • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • ตัวเลนส์มีระยะซูมเยอะ ไม่ต้องพกหลายเลนส์ เพราะใช้แค่เลนส์เดียว
  • ราคาเข้าถึงได้ง่าย
ข้อเสียของกล้องบริดจ์ : 
  • ด้วยเซ็นเซอร์ที่เล็กลง คุณภาพของรูปถ่ายจะไม่ดีเท่า DSLR หรือ Mirrorless
  • คุณภาพของเลนส์อาจจะสู้เลนส์ของ DSLR หรือ Mirrorless ไม่ได้
  • แบตเตอรี่อยู่ได้ไม่นาน
  • เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้
การใช้งาน :
  • เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เป็นงานอดิเรก
  • เหมาะกับคนที่ไม่ชอบศึกษาเรื่องเลนส์กล้อง เพราะเปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ ซื้อแล้วใช้ได้ตลอด
  • ใช้งานในชีวิตประจำวัน

Film Camera

กล้องฟิล์มถือว่าเป็นหนึ่งในชนิดกล้องที่มีมานานมากแล้ว และก็ยังคงเป็นที่นิยมอยู่เนื่องด้วยสไตล์ของภาพที่ไม่เหมือนกับรูปของ DSLR หรือ Mirrorless กล้องฟิล์มจะถูกแบ่งได้เป็นสองประเภทคือ
  • กล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้ง / กล้องฟิล์มใช้ครั้งเดียว
  • กล้องฟิล์มปลี่ยนฟิล์มได้
ซึ่งราคาของแบบแรกก็จะถูกกว่าราคาของชนิดที่สอง การใช้งานของกล้องฟิล์มจะใช้ยากกว่ากล้อง DSLR หรือ Mirrorless เป็นอย่างมาก เพราะค่า ISO จะถูกกำหนดตั้งแต่ตอนซื้อม้วนฟิล์มและไม่สามารถเปลี่ยนได้ อีกทั้งช่างภาพยังไม่สามารถดูรูปถ่ายได้เลยจนกว่าจะนำฟิล์มไปล้าง

ข้อดีของกล้องฟิล์ม : 
  • ราคาเข้าถึงได้ง่าย
  • สไตล์ภาพ Vintage ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกล้องฟิล์ม
  • พกพาสะดวก มีน้ำหนักที่ไม่หนักมาก (แล้วแต่รุ่น)
  • คุณภาพรูปถ่ายดี
ข้อเสียของกล้องฟิล์ม : 
  • ใช้งานยาก โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ เพราะต้องตั้งค่ากล้องต่าง ๆ ให้เหมาะกับฟิล์ม และแสงในตอนที่กำลังจะถ่าย
  • ไม่สามารถดูรูปถ่ายได้ก่อนกดถ่าย จะไม่เห็นรูปจนกว่าจะเอาไปล้าง
  • ม้วนฟิล์มมีราคาที่แพง
การใช้งาน :
  • กล้องฟิล์มเหมาะกับผู้ที่มีทักษะในการตั้งค่ากล้องแล้วระดับหนึ่ง หรือใครที่มือใหม่ ก็สามารถเลือกซื้อกล้องฟิล์มแบบที่ไม่ต้องตั้งค่าก็ได้
  • เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบภาพถ่ายแบบวินเทจ มีเอกลักษณ์ในตัว
  • กล้องฟิล์มดี ๆ สามารถนำไปใช้ถ่ายงานระดับมืออาชีพได้ แต่ต้องอาศัยทักษะที่แม่นยำ

 Instant Camera

กล้องอินสแตนท์ หรือที่เรียกติดปากกันว่ากล้องโพลารอยด์ เป็นชนิดของกล้องที่ถ่ายแล้วได้รูปออกมาเป็นฟิล์มโพลารอยด์ในทันที เป็นกล้องที่มีความนิยมในหมู่วัยรุ่นเนื่องจากความง่ายของการใช้งานและการจัดเก็บที่หลากหลาย
ข้อดี : 
  • ราคาเข้าถึงได้ง่าย
  • น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
  • ใช้ง่ายเพราะไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย แค่เล็งและกดถ่าย
ข้อเสีย : 
  • ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์หรือตั้งค่าต่าง ๆ ได้
  • ม้วนฟิล์มมีราคาแพงและจำนวนน้อย
การใช้งาน : 
  • เหมาะกับคนที่ชื่นชอบความรวดเร็ว แต่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้
  • ใช้ในชีวิตประจำวันได้ดี

การเลือกซื้อเลนส์กล้อง

นอกจากการเลือกซื้อกล้องถ่ายรูปแล้ว จะสังเกตว่าไม่ใช่กล้องทุกชนิดที่จะสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ กล้องถ่ายที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้จะมีแค่กล้อง DSLR และกล้อง Mirrorless โดยปกติแล้ว เลนส์กล้องจะถูกแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ซึ่งก็คือเลนส์ไพร์ม (Prime lenses) และเลนส์ซูม (Zoom lenses) 
  • เลนส์ไพร์ม จะมีค่าความยาวโฟกัส (Focal length) คงที่ ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนระยะซูมได้ แต่ข้อดีของเลนส์ไพร์มคือน้ำหนักที่เบา พกพาสะดวก และภาพถ่ายที่มีคุณภาพมากกว่า
  • เลนส์ซูม จะมีทางเลือกในการปรับค่าความยาวโฟกัส ทำให้สามารถปรับระยะซูมได้

แล้วค่าความยาวโฟกัส หรือ Focal length คืออะไร?
ค่าความยาวโฟกัสคือระยะทางระหว่างตัวเซ็นเซอร์ของกล้องและจุดโฟกัสของเลนส์ ซึ่งจะถูกวัดเป็นมิลลิเมตร (mm) เมื่อค่าความยาวโฟกัสถูกลดหรือถูกเพิ่ม (ตามความสามารถของเลนส์) ภาพที่ถ่ายออกมาก็จะแตกต่างกันไป สำหรับค่าความยาวที่น้อยอย่าง 14-24mm จะมีระยะระหว่าง Sensor กล้องและจุดโฟกัสของเลนส์ที่น้อย เส้น A และ เส้น B ก็จะห่างออกจากกัน หมายความว่ากล้องก็จะสามารถเก็บภาพจริงมุมกว้างได้ดี แต่ในทางกลับกัน สำหรับค่าความยาวที่มากอย่าง 300mm ระยะระหว่าง Sensor กล้องและจุดโฟกัสของเลนส์มีมากขึ้น เส้น A และ เส้น B ก็จะถูกบีบแคบลง ทำให้กล้องจับภาพในระยะใกล้ชิดมาก ๆ ได้ หรือสามารถใช้ในการถ่าย Subject ที่อยู่ระยะไกลได้เช่นกัน 

เพื่อความสะดวก ทาง IkonClass ได้สรุปตารางการใช้เลนส์มาให้ผู้อ่านได้ศึกษา
ตารางเปรียบเทียบการใช้เลนส์
สรุปการเลือกซื้อเลนส์กล้อง
  • ควรเลือกซื้อระยะเลนส์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน คำนึงถึงสิ่งที่เราถ่ายก่อนที่จะเลือกซื้อเลนส์
  • สังเกตค่ารูรับแสงหรือ f เพราะเป็นตัวกำหนดว่าจะสามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ดีแค่ไหน อย่างเลนส์ที่ใช้ในการถ่ายคน มักจะเลือก f ที่ต่ำมาก ๆ อย่างเช่น f1.8 เป็นต้น

การ์ดเก็บความจำ

เวลาเลือกซื้อการ์ดเก็บความจำ SD card ผู้อ่านควรจะคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้ :
  • ความจุ : กล้อง DSLR หรือ กล้อง Mirrorless จะกินพื้นที่ค่อนข้างเยอะ และถ้ายิ่งช่างภาพตั้งค่าให้กล้องจับภาพเป็น RAW files หรือภาพความละเอียดสูง ก็จะยิ่งกินพื้นที่เข้าไปใหญ่ สำหรับใครที่ถ่ายภาพจำนวนเยอะด้วยความละเอียดสูง ควรเลือกใช้ 64-128 GB เป็นอย่างต่ำ
  • ความเร็ว : ค่าความเร็วของการเขียนและการอ่านก็สำคัญ ยิ่งค่าการเขียน (Write speed) ของ SD card เยอะ ก็จะยิ่งทำให้กล้องบันทึกภาพที่ช่างภาพกดถ่ายรัว ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • คลาส : อีกหนึ่งข้อสังเกตุของการเลือก SD card ให้ดูที่ “คลาส” ความเร็ว ซึ่งจะแบ่งเป็นสองคลาสสำหรับรูปภาพ ( “C” ตามด้วยตัวเลข 2 4 6 8 หรือ 10 ข้างในตัว C) (“U” ตามด้วยเลข 1 หรือ 3 ข้างในตัว U) สำหรับวิดีโอ (จะใช้ “V” ตามด้วยเลย 6 10 30 60 หรือ 90) ซึ่งไม่ว่าผู้อ่านจะเลือกซื้อยี่ห้อไหน ก็จะเจอสัญญาลักษณ์พวกนี้สลักอยู่บนตัวการ์ด ในการเลือกการ์ด ให้เริ่มดูจากตัวหนังสือ คลาส C จะช้ากว่าควาส U ต่อมาให้ดูที่ตัวเลขที่อยู่ในอักษร เลขที่สูงกว่าจะมี Minimum write speed ที่สูงกว่า และท้ายสุด ให้ผู้อ่านมานั่งสังเกตอีกทีว่า Read และ Write speed ของตัวการ์ดนั้นมีเท่าไหร่นั่นเอง
  • จำนวน : จำนวนของ SD card ที่ควรมีจะขึ้นอยู่กับการใช้งานของช่างภาพ ถ้าคุณเป็นช่างภาพที่เน้นถ่ายหลาย ๆ รูปแล้วค่อยนำไปคัดเลือก ก็อาจจะต้องการใช้ SD card ที่จุได้เยอะหรือจำนวนหลายอัน แต่ถ้าคุณเป็นช่างภาพที่ไม่ได้เน้นกดถ่ายเยอะ ๆ หรือไม่ได้อยู่ในสายงานที่ต้องถ่ายภาพในจำนวนที่เยอะ การมี SD card เพียงพอประมาณก็จะเหมาะสมกว่า แต่ไม่ว่าคุณจะนำไปใช้อะไร การมี SD card หลายอันแทนที่จะมีอันเดียวแต่ความจุเยอะก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะมันเป็นการกระจายความเสี่ยงของการเก็บข้อมูล สมมุติว่าถ้าคุณถ่ายรูป 500 รูป โดยกระจายเก็บใส่สองการ์ด ถ้าอันนึงเสีย อย่างน้อยคุณก็ยังมีอีก 250 รูปไว้ใช้งานได้ แต่ถ้าคุณเก็บทั้ง 500 รูปไว้ในอันเดียวแล้วการ์ดเสีย คุณก็จะเสียทั้ง 500 รูปไปเลย

ณัฐ ประกอบสันติสุข
สอนการถ่ายภาพแฟชั่น

เรียนรู้ทุกเคล็ดลับและเทคนิคจากช่างภาพแฟชั่นอันดับ 1
สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการแต่งหน้าสำหรับมือใหม่

แหล่งเลือกซื้อกล้องถ่ายรูป

ไม่ว่าผู้อ่านจะเลือกซื้อกล้องชนิดไหน เลนส์อะไร ทาง IkonClass แนะนำให้ไปเลือกซื้อที่หน้าร้าน เพราะกล้องเป็นสินค้าที่เกิดการเสียหายระหว่างขนส่งได้ง่าย อีกทั้งหน้าร้านส่วนมากยังมีการบริการให้ลูกค้าได้จับและทดลองตัวกล้องอีกด้วย เมื่อคุณได้กล้องเป็นของตัวเองแล้ว ก็อย่าลืมมาอัพสกิลการถ่ายรูปกับ พี่ณัฐ ประกอบสันติสุข และทาง IkonClass ด้วย บทเรียนแรกเรียนฟรี เพียงแค่ลงทะเบียนเท่านั้น

บทความล่าสุด

คอร์สเรียนของเรา